SUIT YOUR SKIN TYPE
ประเภทผิวทั้งห้า
ผิวปรกติ, ผิวบอบบาง, ผิวมัน, ผิวแห้ง, ผิวผสม
อวัยวะที่สำคัญและมีขนาดใหญ่อีกตัวที่ไม่ควรมองข้ามคือ “ผิว” ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงหรือแม้กระทั้งพันธุ์กรรมที่ระบุมาตั้งแต่เกิดสามารถเป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวของคนเราแตกต่างกันได้ ผิวจะไม่คงสถานะตามประเภทที่เป็นอย่างถาวร แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจัย ณ เวลานั้น เช่น สภาพอากาศ, ฮอร์โมน หรือ อาหารที่รับประทาน ดังนั้นเราควรเอาใจใส่คอย สังเกตุถึงสถานะผิวของเราเสมอ การดูแลผิวที่ดีคือการรู้และเข้าใจว่าผิวนั้นมีลักษณะอย่างไร และใช้ผลิตภัณท์ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพผิว ณ เวลาช่วงนั้น
โดยทั่วไปจึงแบ่งประเภทผิวคร่าวๆเป็นห้าประเภท ได้แก่ ผิวธรรมดาหรือปรกติ (Normal skin), ผิวบอบบาง (Sensitive skin), ผิวมัน (Oily skin), ผิวแห้ง (Dry skin), ผิวผสม (Combination skin) แต่บางคนอาจมีประเภทผิวมากกว่าหนึ่งผสมกันไป เพื่อตามหาประเภทผิวที่คุณเป็นหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือ หลังจากล้างหน้าด้วยสบู่อย่างเดียว ยังไม่ต้องลงครีมบำรุงผิวใดๆทั้งสิ้นเป็นเวลาประมาณ 30 นาที แล้วสังเกตุบริเวณแก้ม คาง จมูก และหน้าผาก ว่ามีจุดไหนเงามันวาวบ้างหรือแห้งตึงตรงจุดไหน ถ้าส่วนใหญ่รู้สึกตึงทั่วหน้าไม่ค่อยมีเงามันวาวจะเป็นผิวประเถทแห้ง ถ้าส่วนหน้าผากและจมูกเงาวาวมากจะเป็นผิวผสมแต่ถ้าวาวไม่มากนักแค่นิดหน่อยจะเป็นผิวปรกติ ถ้าทั้งหน้านั้นมันวาวไปทั่วแปลว่าเป็นผิวมัน ส่วนผิวบอบบางคือผิวที่แดง เป็นสิว แสบร้อนหรือเป็นผื่นได้ง่าย
ผิวธรรมดาคือผิวที่สมบูรณ์แข็งแรงที่สุด หรือเรียกอีกอย่างว่าผิวดีแข็งแรง เป็นผิวที่ดูดีเรียบเนียน ไม่แห้งเกินไปหรือมันเกินไป เป็นสิวหรือระคายเคืองได้ยาก ส่วนใหญ่มีความมันเล็กน้อยตรงส่วนทีโซน(หน้าผากไปถึงส่วนจมูก) ดูแลได้ง่าย สามารถใช้ผลิตภัณท์ได้ทุกประเภทโดยไม่มีผลข้างเคียง
ประเภทผิวยอดฮิตในปัจจุบัน เนื่องด้วยมลภาวะและสภาพแวดล้อมที่แย่ลงของโลก หรือแม้กระทั่งแสงแดดและสารเคมีที่ตกค้างบนผิวหน้าจากครีมบำรุงที่ไม่ดีพอหรือล้างเครื่องสำอางไม่หมดจด เป็นประเภทผิวที่ต้องระมัดระวังและใช้ความอดทนในการดูแลอย่างสูง นอกจากสภาพแวดล้อมหรือสารตกค้างแล้วอาจสามารถเกิดได้จากสภาพของสุขภาพที่ผิดปรกติหรือพันธุ์กรรมมาตั้งแต่เกิด นอกจากผลิตภัณท์บำรุงผิวภายนอกแล้วอาจจำเป็นต้องรับประทานผลิตภัณท์อาหารเสริมเพื่อฟื้นฟูร่างกายและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันควบคู่กันไป
ผิวประเภทนี้สามารถสังเกตุได้ง่าย หากระหว่างวันทั่วทั้งใบหน้ามีความมันเงาวาว หรือจำเป็นต้องใช้กะดาษซับมันบ่อยครั้งและทุกครั้งกระดาษซับมันจะมันเต็มแผ่น หรือบริเวณผิวหน้ามีรูขุมขนกว้างจนเห็นได้ชัด ยิ่งรูขุมขนกว้าง ต่อมไขมันก็จะยิ่งทำงาน ยิ่งต่อมไขมันทำงานก็จะยิ่งปล่อยความมันออกมาบนผิวหน้ามากขึ้น ดังนั้นผิวประเถทนี้ไม่ควรใช้ครีมบำรุงหนักๆหรือประเภทน้ำมัน แต่หากบอกว่าหน้ามันแล้วไม่ต้องบำรุงเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับใบหน้านั้นไม่ได้ เพราะน้ำและน้ำมันแตกต่างกัน ผิวยังคงต้องการน้ำและความชุ่มชื้น
ผิวแห้งหรือผิวที่ขาดความชุ่มชื่นอย่างหนัก มีลักษณะแตก เป็นรอยย่นหรือมีริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้ง่าย ให้ความรู้สึกตึงหรือในเคสที่หนักหน่อยจะรู้สึกคันยิบๆเวลาขยับหน้าหรือยิ้มจะตึงไปหมด ในประเภทผิวนี้ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะ ไม่ควรอาบน้ำร้อน ใช้ครีมที่ให้ความชุ่มชื่นสูงอย่างสม่ำเสมอ สามารถใช้ครีมที่มีความหนักและเข้มข้นได้ ความสำคัญในการดูแลผิวประเภทนี้คือการใส่ใจเติมครีมให้ผิวคงความชุ่มชื่นอยู่เสมอ
ผิวผสมเป็นผิวประเภทที่มีความคลุมเครือระหว่างผิวมันและผิวแห้ง เพราะบริเวณทีโซนหรือช่วงหน้าผากจรดตรงช่วงจมูก จะมีความมันระดับผิวประเภทผิวมัน แต่ส่วนบริเวณแก้มจะแห้งมากจนเทียบเท่ากับประเภทผิวแห้ง การดูแลผิวประเภทสามารถทำได้โดยการใช้ครีมประเภทผิวมันบริเวณทีโซนและครีมหนักในบริเวณแก้มที่แห้ง